พิมพ์
เขียนโดย Sasara Sasara
หมวด: Sasara Blog Sasara Blog
เผยแพร่เมื่อ: 16 สิงหาคม 2548 16 สิงหาคม 2548
ฮิต: 31762 31762
"อาหารนี่แหละเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หลักการง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหน"        ชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเองเป็นคนหนึ่งที่ประสบกับปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้นสามารถกำหนด ชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่องอาหารการกินของตัวเราเองก่อน

 

 

สุวิทัศน์ ประไพ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเจคนหนึ่งของเมืองไทย และเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ 'กินดีอยู่ดี' ร่วมกับ อิ๋งอิ๋ง-สิทธิณี กิตติสิทโธ เขาไม่รับประทานเนื้อสัตว์มานาน 17 ปี ต้นเหตุมาจากเคยเป็นคนขี้โรค ทั้งโรคกระเพาะ ความดันโลหิตสูง หอบ-หืด ตับอักเสบตั้งแต่เกิด สายตามีปัญหา คือ ข้างซ้ายเอียง ข้างขวาสั้น รวมแล้ว 5 โรคด้วยกัน เล่นกีฬาไม่ได้เลย ต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินเรื่อยมา ตั้งแต่อายุ 16-17 ปี อาหารเริ่มไม่ย่อย การขับถ่ายล้มเหลว และอาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้เลย

 

 

ขั้นแรกก็เลยลองไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เวลารับประทานผัดผักใส่หมู ก็เขี่ยหมูออกไป รับประทานเฉพาะผัก รู้สึกดีขึ้น รับประทานเฉพาะไฟเบอร์ รู้สึกว่าการขับถ่ายดีขึ้น สภาวะจิตใจดีขึ้น นอนหลับดีขึ้น

 

 

คนเราพอกินอิ่มนอนหลับขับถ่ายดี ก็ส่งผลถึงจิตใจ ความคิดสมองก็แล่นดี ก็เลยคิดว่า คงเป็นเพราะเลิกกินเนื้อสัตว์ ก็เลยลองเลิกถาวร หยุดกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ตอนนี้เขาอายุ 42 แล้ว หลังจากนั้น เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ผมไปหาหมออย่างมากสูงสุดก็แค่เป็นหวัดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับว่า เราอยากจะมีชีวิตแบบไหน ยิ่งแก่ยิ่งสบาย ไม่ป่วยง่ายตายทรมาน ต้องปรับวิธีการกิน..."

 

 

1.ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร

 

 

ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังกริ๊ง..ง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น ก็ยังลุกไม่ไหว นั่นเป็นสัญญานแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกิน

 

 

ทุกวันนี้ผมกินหนักๆ มื้อเดียว เช้าต้องกินข้าว ก๋วยเตี๋ยว นอกนั้นจะเป็นพวกผลไม้ เป็นของขบเคี้ยวเล็กน้อย จำไว้ว่าถ้าเรากินน้อย จะตายยาก กินมากตายง่าย จำไว้นะครับอาหารที่เรากินทุกวันนี้ อาหารที่เสีย หรือบูดเน่าง่าย กินแล้วตายยาก อาหารที่บูดเน่ายากๆ ใส่สารกันบูด กินแล้วตายง่าย

 

 

หลักความเป็นจริงเหล่านี้ทุกคน รู้ดีอยู่แล้ว การดำรงชีวิตในสังคม เช้าต้องรีบไปทำงาน ไปเป็นมนุษย์ตึก ไม่เอื้อในการเลือกสรรอาหาร ตอนเที่ยงเราก็จะกรูออกจากตึก อะไรอยู่ตรงหน้า เราก็จะกินไว้ก่อน แล้วไปทำงานต่อ ถ้าเป็นไปได้ ต้องค่อยๆ ปรับตัวเอง

 

 

เต้าหู้ร้อนๆ 1-2 ชิ้น ราดซอสพริกลงไป อิ่มไปครึ่งวัน เพราะโปรตีนในนั้นมีอยู่มากโข คนจีนโบราณเขาบอกว่า ตอนเช้าให้กินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา ตอนเย็นให้กินอย่างยาจก เพราะใกล้จะนอนแล้ว เป็นหลักดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ แต่คนเราในปัจจุบันปฏิบัติกลับกัน ตอนเช้าไม่กินเลย กาแฟถ้วยเดียวแล้วรีบออกจากบ้าน พักกลางวัน 1 ชั่วโมงต้องรีบกิน มื้อเย็นไว้นัดฝูง กินมื้อใหญ่ เพราะเก็บกดมาทั้งวันแล้วกลับบ้านไปนอนอืด

 

 

ดังนั้น ไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงมีสถาบันเสริมความงามลดน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก ฟิตเนส ฯลฯ เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด ใช่ว่าคนไทยหันมารักสุขภาพ แต่เป็นเพราะคนไทยเกิดปัญหาเดือดร้อนส่วนตัวแล้วต่างหาก แต่ไม่มีใครคิดหาต้นเหตุอันเกิดจากพฤติกรรมการกินนั่นเอง แต่ไปแก้ที่ปลายเหตุ

 

 

2.เริ่มต้นจากการทำใจ

 

 

ไม่จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจเคร่ง จนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่ตัวเราโปรดปราน เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไปตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า กินหมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ กินกุ้งดีกว่ากินปลา ทำได้ดังนี้สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ

 

 

อย่างกลุ่มชีวจิตเขาจะกินสัตว์เล็กๆ ปลาตัวเล็กๆ ไปจนถึงกุ้งฝอย ขอย้อนกลับไปที่ปู่ย่าตายายเราที่อยู่บ้านนอกตามทุ่งนาป่าสวน อายุ 100 กว่าปีนะ เขากินน้ำพริก ผักต้ม ผักจิ้ม ถ้าจะกินต้มโคล้ง ต้มยำ เขาจะไปช้อนลูกปลา ลูกกุ้งตามคลองบึง เอามาทำกิน

 

 

เวลาเจอหน้ากัน คำพูดที่เราได้ยินจนกลายเป็นวัฒนธรรมไทย ก็คือ กินข้าวกินปลาหรือยัง ทำไมเขาไม่พูดว่า กินข้าวกินควายหรือยัง อันนี้บ่งบอกว่าเป็นวัฒนธรรมไทย คนไทยจึงอายุยืน อาหารเจและอาหารเพื่อสุขภาพในบ้านเรา ตอนนี้มีเยอะแล้วไม่ยากลำบากหรอก หากเราจะลุกขึ้นมาปฏิวัติการกินของเรา….”

 

 

3.คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์

 

 

ผักผลไม้สังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ สีเขียว คือ คลอโรฟิลล์ มนุษย์เองก็มีคลอโรฟิลล์ หากร่างกายสมบูรณ์สะอาดจากข้างใน หากมีสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่างๆ ในร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านและขับออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการเก็บสะสม แล้วทำอย่างไรให้ร่างกายของเรามีคลอโรฟิลล์

 

 

ถ้าเราไม่กินสีเขียวๆ ของพืชผักผลไม้เลย ชีวิตคุณสั้นแน่ เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอกเลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สีของเลือดจะสวย ใส ไม่ข้นเหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง พืชผักผลไม้มีสารอาหารที่มีสภาวะเป็นด่าง แต่เนื้อสัตว์กับเลือดของสัตว์เป็นกรด ถ้ากินมาก เลือดเราจะไม่สมบูรณ์ หากเลือดข้นก็จะวิ่งตามเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่สะดวก เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้

 

 

การวัดค่าของเลือดเรียกว่า คาโลทีนอย ว่าสูงสุด 29,000-49,000 มาตรฐานคนทั่วไปอยู่ที่ 20,000-40,000 ทว่า อาจารย์นก เคยไปวัดค่า 'คาโลทีนอย' ได้ตั้ง 55,000 เรียกว่า เกินมาตรฐานทั่วไป กลายเป็นเลือดที่ดีมาก แพทย์พยาบาลต่างบอกว่า น่าจะบริจาคเพราะเป็นเลือดที่ดีมาก

 

 

คาโลทีนอยมาก มะเร็งไม่มีวันถามหา เพราะมีสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ การที่เรากินผักและผลไม้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคาโลทีนอยมากขึ้นเท่านั้น ผักผลไม้จะมีสีสันต่างๆ มากมาย อย่างสีส้มในแครอทมีเบต้าแคโรทีน สีส้มในมะละกอ สีเหลืองในมะม่วงสุก พวกนี้จะมีเบต้าแคโรทีน สารสีเหล่านี้จะมีแอนตี้ ออกซิแดนซ์ ถั่ว 5 สีจะทำให้อวัยวะหลักในร่างกาย เขาเรียกว่าเบญจธาตุมีความสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตจริงเราอาจจะกินถั่วไม่ครบ 5 สี แต่เรากินพืชผักผลไม้ครบ 5 สีแทนก็ได้เหมือนกัน

 

 

ถ้าจะเปรียบร่างกายเป็นประเทศชาติ ควรรับประทานข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องเป็น ราชาแห่งข้าว มีจมูกข้าวอุดมไปด้วยวิตะมิน กล้วยน้ำว้า เป็นราชินี มีความหวานเป็นแป้งบริสุทธิ์ งาดำ-งาขาว เป็นขุนพล และดื่ม น้ำเต้าหู้ อย่างน้อยวันละแก้ว เพื่อล้างพิษต่างๆ ในร่างกาย ดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ ตั้งแต่ตื่นนอน

 

 

น้ำ จะช่วยบำรุงเส้นเสียง ถ้าดื่มน้ำตอนตื่นนอน 2-3 แก้ว แล้วประมาณ 10-15 นาที ตามด้วยกล้วยน้ำว้า สุก 1-2 ผล ก็จะเป็นยาอายุวัฒนะ ก่อนนอนดื่มน้ำนิดหน่อยตามที่ร่างกายต้องการ การดื่มน้ำเป็นการชำระล้างให้ร่างกายภายในมีความสะอาดขึ้น

 

 

เทศกาลกินเจ กระเทียม กระเทียมโทน กุยช่าย ใบยาสูบ เหล้า ไปกระตุ้นเบญจธาตุให้สภาวะจิตไม่ดี เจกลุ่มเก่าเทวนิยม บวงสรวงบูชาเทพ จะไม่กิน ผักชี ขึ้นฉ่าย, ผักกาดหอม, ต้นหอม แต่เจกลุ่มใหม่จะกิน เพราะผักชีมีสารตัวหนึ่งไปกระตุ้นต่อมใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน ตำผักชีหยาบๆ พอกหน้าพอกผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนสวย ผักชีกินแล้วตัวหอม เพราะมีเอนไซม์เอสเอ็นออย มีน้ำมันหอม คนกินเจตัวไม่ฉุน แต่คนกินมังสวิรัติจะฉุน เพราะมีเครื่องเทศ ฯลฯ ต่อมใต้รักแร้จะขับออกมา มีกระเทียม หัวหอม แต่พริกไทยผู้หญิงควรรับประทาน เพราะทำให้เป็นผลดีต่ออวัยวะภายใน

 

 

ริว - ปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์ เป็นอีกคนที่ชอบบริโภคเนื้อสัตว์ จนกระทั่งเป็นโรคไมเกรนแสนทรมาน "ปวดหัวเหมือนโดนเหล็กร้อนๆ จิ้มลงไป ดิ้นทุรนทุราย ปวดจนคุมสติอารมณ์ไม่ได้ จะไม่มีแรงแม้กระทั่งเปิดประตู วันหนึ่งรู้สึกว่าไม่อยากกินเนื้อสัตว์ กินแล้วรู้สึกไม่สบาย แรกๆ ก็เขี่ยเนื้อสัตว์ออก กินแต่ผัก ระยะหนึ่ง ก็เริ่มหันมากินอย่างจริงจัง เริ่มศึกษาว่าผักแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร งดเนื้อสัตว์ปีที่ 7หมอบอกว่าไมเกรนหายแล้ว เพราะเลือดที่เคยข้นตีบ ทำให้เป็นไมเกรน กลายเป็นเลือดโปร่งไหลเวียนเป็นปกติ"

 

 

4.ผัก 5 ชนิด ถั่ว 5 สี

 

 

เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า อาหารเจ กับมังสวิรัติต่างกัน เพราะอาหารเจจะไม่บริโภคผัก 5 ชนิด ก็คือ กระเทียม หัวหอม กระเทียมโทน กุยช่าย ใบยาสูบ (รวมถึงเหล้า และการพนันทุกชนิดด้วย) ส่วนมังสวิรัติจะรับประทานทุกอย่างรวมทั้งไข่และนม, เนย ยกเว้นเนื้อสัตว์ คนที่กินมังสวิรัตินานๆ หน้าจะเป็นสีเขียวหรือตัวซีด อาจเป็นเพราะเขาได้รับสารจากผักฉุน 5 ชนิด

 

 

กระเทียม ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วกินกระเทียม จะมีสรรพคุณเป็นยาครอบจักรวาล พวกเราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า สัตว์ก่อนจะถูกฆ่าตาย เขาจะมีความวิตกหวาดระแวงแล้วขับสารพิษออกมา หากสารนี้ไม่ถูกขับออกมาทางเหงื่อทันที ภายใน 1 ชั่วโมงผิวจะมีสีเขียวคล้ำ นักวิทยาศาสตร์ทดลองโดยเอามีดไปจ่อคอวัวที่กำลังจะตายในโรงฆ่าสัตว์ แล้วเอาแก้วไปครอบจมูกเก็บไอของลมหายใจมากลั่นเป็นน้ำหยดหนึ่ง ฉีดลงไปที่ตัวหนูทดลอง

 

 

ปรากฏว่า หนูวิ่งทุรนทุราย แล้วตายในที่สุด สรุปได้ว่าสารพวกนี้จะหลั่งในสัตว์ รวมทั้งมนุษย์ เวลาที่โกรธมาก หน้าจะเขียว แดง และดำ พอหยุดโกรธ หัวใจเต้นแรงใจสั่น เหงื่อไหลพลาก เพราะร่างกายขับของเสียออกมา ดังนั้นคนที่โมโหบ่อย อาจจะอายุสั้นก็เป็นไปได้ กลับมาที่การรับประทานกระเทียม หากไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ แต่รับประทานกระเทียม สารในกระเทียมจะไปกระตุ้นต่อมฮอร์โมนเพศ และการทำงานของหัวใจ

 

 

กุยช่าย จะไปทำลายม้าม หากไม่รับประทานกับเนื้อสัตว์ เพราะมียางพิษเวลาเราผัดกุยช่ายกับเนื้อหมู หรือตับ ยางของมันจะไปหยุดยั้งเชื้อที่ไปกระตุ้นต่อมมะเร็ง แต่จะไปทำลายม้ามที่เป็นตัวสร้างเลือด ถ้าคนกินมังสวิรัติ แล้วกินกุยช่าย หน้าจะคล้ำเพราะสาเหตุนี้

 

 

ถั่ว 5 สี ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น ถั่วแดง บำรุงหัวใจ รวมทั้งแตงโม, บีทรูด ฯลฯ จะช่วยบำรุงเลือด การไหลเวียนของโลหิต ถั่วดำ รวมไปถึง งาดำ ฯลฯ จะบำรุงเส้นผม ผิวหนัง ชุ่มชื้นมันวาว ผมดกดำมัน ผมร่วง เชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมแข็งแรง ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ถั่วซีด หรือ ถั่วขาว เช่น ถั่วลิสง, ลูกเดือย, แมกคาเดเมีย บำรุงกระดูกให้แคลเซียม บำรุงกระดูกข้อมือ บำรุงฟัน ถั่วเหลือง ให้โปรตีน ถั่วเขียว บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย

 

 

ถั่ว 5 สีนี้รวมทั้งผัก 5 สี ควรจะรับประทานให้ครบถ้วน มนุษย์รับปะทานครบ ก็จะมีคลอโรฟิลล์อยู่ในร่างกาย และ นมถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จีน เปิดเผยว่า ดื่มน้ำเต้าหู้สดๆ ที่ทำใหม่ๆ วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยฟอกพิษในร่างกายได้ แต่ต้องไม่ใช่น้ำเต้าหู้พาสเจอร์ไรซ์ที่ใส่สารกันบูด ที่มีขายเป็นกล่องๆ โดยทั่วไป

 

 

อยากอายุยืน ผิวพรรณสดใส อ่อนวัยไปนานๆ คงต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานแล้วละ สิ่งสำคัญก็คือ การออกกำลังกาย ตามแบบที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเหยาะๆ เล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเพื่อให้เหงื่อออก โลหิตไหลเวียนสะดวก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกหลายอย่าง

เก็บมาฝากจากไทยรัฐค่ะ